ผมกับพิงตื่นเวลาประมาณ 7 โมงเช้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ของพวกเรา น้าเตี้ยตื่นและขับรถไปทำงานตั้งแต่ตีห้ากว่า ขณะที่เรายังคงขดตัวอยู่บนเสื่อทาทามิอยู่เลย เราทะยอยกันอาบน้ำ เก็บกระเป๋า น้าปานเตรียมอาหารไทยพวกใส้อั่ว ปลาดุกผัดเผ็ด เป็นอาหารมื้อเช้าให้พวกเรา เราอยู่ญี่ปุ่นมาหลายวัน ที่นี่ไม่มีอาหารแซ่บๆ ขาย ผัดเผ็ดปลาดุกของน้าปานช่วยได้เยอะจริงๆ โปรแกรมวันนี้ของพวกเราคือ ช้อปปิ้งซื้อของฝาก เราจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกจากบ้าน รอให้ห้างต่างๆ เปิดก่อน
รูปที่ 1 : การนอนตามสไตล์ญี่ปุ่นบนเสื้อทาทามิ มีแค่ผ้าห่มกับหมอนก็หลับสบายแล้ว |
รูปที่ 2 : ภาระกิจวันสุดท้ายคือ เดินช้อปปิ้ง(ที่คนอื่นฝากมา) |
เราออกจากบ้านน้าปานช่วงสายๆ ลากกระเป๋าไปตีตั๋วรถไฟลงที่สถานี Nipponbashi แล้วฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ใน Coin Locker แล้วจึงขึ้นรถไฟต่อไปลงที่สถานีอูเมดะ (Umeda) เพื่อมาซื้อเครื่องสำอางและนาฬิกา G-Shock ในห้างฮังคิว (Hankyu) ผมไม่รู้ว่า ของเหล่านี้สามารถหาซื้อตามร้านค้าเล็กๆ บนถนนคนเดิน Ebisubashi ในราคาถูกกว่าห้างหรือเปล่า เนื่องจากพวกเราไม่มีเวลาเดินหาซื้อของบนถนนช้อปปิ้งความยาว 2 กิโลเมตร จึงตัดสินใจมาซื้อที่ห้อง Hankyu ในย่าน Umeda เพราะนอกจากจะมีสินค้าให้เลือกซื้อเยอะแล้วได้ยินว่า ที่นี่ให้ส่วนลด 5% สำหรับนักท่องเที่ยว และสามารถเรียกเงินค่าภาษี (Tax Refund) ได้เงินคืนได้อีกด้วย
รูปที่ 3 : หน้าตาของคูปองส่วนลด “5% OFF” ของห้าง Hankyu |
ขั้นตอนในการซื้อของในห้างฮังคิว แบบได้ส่วนลด 2 ต่อ
หลังจากเดินมาถึงบริเวณห้าง Hankyu ในย่าน Umeda ก่อนที่จะเดินช้อปปิ้งอยากแนะนำให้เดินไปที่ชั้น 1 ของตึก Hankyu Umeda Main Store แผนก Information กันก่อน (ห้าง Hankyu มีหลายตึกนะครับ) เพื่อขอคูปองส่วนลด 5% โดยยื่น Passport ให้กับพนักงานที่แผนกนี้ คูปองส่วนลดนี้สามารถใช้ได้วันต่อวันสำหรับซื้อสินค้าของห้าง Hankyu ทุกตึกในย่าน Umeda นี้ เพียงแค่ยื่นคูปองส่วนลด “5% OFF” นี้เวลาจ่ายเงินซื้อสินค้าก็จะได้รับส่วนลดทันที 5% จากราคาป้าย เมื่อซื้อสินค้าเสร็จเก็บรวบรวมใบเสร็จเอาไว้เพื่อเรียกเงินค่าภาษีคืน (Tax refund) ต่อไป การซื้อของในห้างนี้จึงได้ส่วนลด 2 ต่อครับ
รูปที่ 4 : เจอสินค้าเป้าหมายแล้ว เช็คราคาป้ายตรงตามเว็บ |
รูปที่ 5 : พี่สาวฝากซื้อของเล็กแต่ราคาหนัก รุ่น Top ราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะพอสมควร |
รูปที่ 6 : ดูเหมือนพนักงานกำลังงงๆ ซื้อแค่ 4 ชิ้น |
รูปที่ 7 : นาฬิกา G-Shock ต้องซื้อที่ตึก Hankyu Men’s Osaka |
การทำการเรียกภาษีคืน (Tax rerund) เมื่อซื้อของในห้าง Hankyu ใช้หลักการคือ “ซื้อสินค้าตึกไหนให้ทำ Tax refund ตึกนั้น” จะสามารถเรียกเงินภาษีคืนได้มากที่สุด อันที่จริงเราสามารถรวบรวมใบเสร็จที่ได้จากการซื้อสินค้าจากทุกๆ ตึกของห้าง Hankyu แล้วไปยื่นใบเสร็จทั้งหมดพร้อมกับ Passport ที่แผนก Foreign Customer Services บนชั้น B1 ของตึก Hankyu Umeda Main Store เพื่อทำ Tax refund ก็ได้ แต่จะเรียกคืนภาษีได้ไม่เต็มจำนวนเหมือนกับการยื่นทำ Tax refund ตึกใครตึกมัน อันนี้เราจึงต้องยอมเสียเวลาหน่อยเพื่อเรียกเงินคืนได้เต็มจำนวนครับ ตัวอย่างเช่น ผมซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอมบนชั้น 2 ของตึก Hankyu Umeda Main Store เสร็จแล้วก็นำใบเสร็จทั้งหมดและ Passport ไปยื่นที่แผนก Foreign Customer Services บนชั้น B1 ของตึกเดียวกัน เพื่อทำ Tax refund ซึ่งเจ้าหน้าที่จะคืนเงินสดให้เราทันทีประมาณ 7% ของยอดรวมในใบเสร็จ โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสินค้าและทำการแพ็คสินค้าให้เราพร้อมกับให้เอกสารสำหรับไปยื่นที่สนามบินให้กับเรา หลังจากนั้นผมไปซื้อนาฬิกา G-Shock ที่ชั้น B1 ของตึก Hankyu Men’s Osaka ซึ่งเป็นตึกที่ขายสินค้าของผู้ชายโดยเฉพาะ (เวลาซื้อสินค้าสามารถยื่นคูปองส่วนลด “5% OFF”ได้) เมื่อซื้อสินค้าในตึก Hankyu Men’s Osaka เสร็จแล้วจึงนำใบเสร็จทั้งหมดและ Passport ไปทำ Tax refund ที่ชั้น 1 ตึกเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะคืนเงินสดให้ทันทีประมาณ 7% ของยอดใช้จ่ายตามใบเสร็จ โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสินค้าและทำการแพ็คสินค้าให้เราเช่นเดียวกัน พร้อมกับให้เอกสารสำหรับไปยื่นที่สนามบินเวลาเดินทางออกจากญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่จะแนะนำว่า สินค้าที่ซื้อไปนั้นห้ามแกะออกขณะที่อยู่ในญี่ปุ่น โดยสินค้าและเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของห้างให้มาจะถูกตรวจสอบที่สนามบินตอนออกจากญี่ปุ่น (ที่จริงแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดมากขนาดนั้น)
รูปที่ 8 : บริเวณทางเดินในสถานีรถไฟใต้ดินย่านนัมบะ ในโอซะกะ |
หลังจากซื้อของหนักๆ ในห้างเสร็จแล้ว เราก็นั่งรถไฟกลับไปลงที่สถานี Namba น้าปานพาไปที่ห้าง Big camera และร้านขายนาฬิกาอีกร้านนึงในย่าน Ebisubashi เพื่อหาซื้อนาฬิกา G-Shock อีกเพราะยังได้ไม่ครบ แต่ไม่สินค้ารุ่นที่ต้องการจึงเสร็จภาระกิจการซื้อของที่คนอื่นฝากซื้อเรียบร้อย ได้ของมาไม่กี่ชิ้นหมดไปแสนกว่าเยน โล่งใจโล่งกระเป๋าเลย เราเดินกลับไปที่สถานี Nipponbashi เพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ใน Coin Locker แล้วเดินบนทางเดินของสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อแวะซื้อของที่ร้านขายของกินของใช้สารพัดสิ่ง ที่คนญี่ปุ่นมักจะแวะซื้อของก่อนกลับบ้าน ผมยื่นเฝ้ากระเป๋าอยู่หน้าร้าน ให้พิงกับน้าปานแวะเข้าไปซื้อของในร้าน ทั้งคู่หายไปประมาณ 10-15 นาที กลับมาพร้อมของสารพัดสิ่ง 2 ถุงใหญ่ เช่น ครีมกันแดด Shiseido, Hada, โฟมล้างหน้า Perfect Whip, Body Scrub, คลอโรเจน, Chocolate, Kid Kat ชาเขียว, ผงโรยข้าว, ลูกอม, ผงทำความสะอาดเครื่องซักผ้า อยากแนะนำว่า อย่าให้ผู้หญิงเข้าร้านแบบนี้คนเดียวนะครับ เพราะเธอจะช้อปกระจาย ผมโดนไป 30,000 กว่าเยนในเวลาไม่ถึง 15 นาที
รูปที่ 9 : หน้าร้านสุโขทัย นวดแผนไทยสาขาแรกอยู่ในย่าน Niponbashi |
หลังจากซื้อของเสร็จ เราก็เดินมาที่ร้านสุโขทัยในย่าน Nipponbashi เพื่อแพ็คของใส่กระเป๋ากัน เนื่องเราฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่นี่ตั้งแต่มาถึงวันแรกและทะยอยเอาของที่ซื้อไว้ฝากไว้ที่ร้านนี้ ตรงนี้ต้องขอขอบคุณน้ารัฐ เจ้าของร้านนวดแผนไทยชื่อ สุโขทัย ไว้ด้วยครับ ที่ให้ที่พักพิงและฝากกระเป๋าให้กับพวกเราในทริปนี้ ขอขอบคุณครับ
รูปที่ 10 : น้าปานพามากินปูในร้านท้ายถนน Dotonbori |
รูปที่ 11 : อาหารญี่ปุ่นมักจะประดิษฐ์ประดอยซะเยอะ ตรงข้ามกับปริมาณและราคา |
รูปที่ 12 : จานนี้เป็นไข่ตุ๋นปู รสชาติอูมาหมิตามสไตล์ญี่ปุ่น |
รูปที่ 13 : ตบท้ายด้วยของหวานถ้วยน้อยๆ |
หลังจากเก็บของ แพ็คกระเป๋าพร้อมกับชั่งกิโลตรวจสอบน้ำหนักกระเป๋าเสร็จแล้ว พวกเรา 3 คนก็เดินไปย่าน Dotonbori เพื่อไปกินปูกันก่อนเดินทางกลับเมืองไทย ผมชวนน้าปานตั้งแต่วันแรกๆ ของการเดินทางแล้วว่า มาโอซาก้าต้องมากินปูไม่งั้นมาไม่ถึง น้าปานพาไปกินร้านประจำสุดถนน Dotonbori ด้านหน้าร้านมีปูตัวใหญ่ๆ เหมือนกับร้านที่อยู่ใกล้ๆ ป้ายโฆษณากุลิโกะ ภายในร้านตกแต่งหรูหราพอสมควร มีพนักงานต้อนรับหลายคน แขกทุกคนต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไปนั่งบนโต๊ะอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ข้อดีของการเข้ามานั่งกินในร้าน คือ ทางร้านมีเมนูอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่ทำจากปูหลากหลายสารพัด แต่ราคาก็ถือว่าแพงหลายทีเหมือนกัน (แบบว่าแพงมากกกว่าแพงทีเดียว) น้าปานสั่งอาหารให้พวกเราหลายอย่างหลายเซ็ต ผมสังเกตุเนื้อปูหรือกล้ามปูในอาหารแต่ละเซ็ต มันจะไม่ใช้เนื้อก้อนใหญ่ๆ หรือกล้ามใหญ่ๆ มันจะเป็นกล้ามเล็กแต่ยาวมากกว่า กินกันเสร็จมื้อนี้น้าปานจ่ายค่าเสียหายไปทั้งหมด 18,000 เยน ผมว่าราคาอาหารมันแพงเกินไปถ้าเทียบกับขนาดของปูตัวไม่ใหญ่ครับ
รูปที่ 14 : หน้าร้านมีปูเป็นอยู่ในตู้ ตัวไม่ใหญ่ ขามันยาวกว่าบ้านเราเท่านั้นเอง |
ที่จริงแล้วผมอยากกินขาปูที่ทางร้านเผาขายในราคาเซ็ตละ 800-900 เยน แล้วเดินกินมากกว่า อันนี้ขาปูขนาดใหญ่กว่าอาหารในร้านเยอะเลย ไม่แพงด้วยเหมาะกับทัวร์ Backpack แบบเรา สรุปว่า การเดินทางมาทริปนี้ของพวกเรา เราได้กินปูอย่างเดียวในเมืองที่ได้ชื่อว่า Kidchen of Japan แถมเรายังแท้บไม่ได้เที่ยวในโอซาก้าเลย ทั้งๆ ที่เราตั้งใจว่าทริปนี้จะมาเก็บโอซาก้าเป็นหลัก พอดีมีญาติผู้ใหญ่พาออกนอกเส้นทางไปไกลเลย แต่ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ต้องหาโอกาสมาตระเวนเที่ยวในโอซาก้าใหม่ ตราบใดที่ยังไม่ต้องขอวีซ่า การมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายนิดเดียว คราวนี้เลยต้องฝากเมนูคูชิกัสซึ (Kushikatsu), โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki), ทาโกยากิ (Takoyaki), ยากิโซบะ (Yakisoba) รวมทั้งขาปูเผาด้วย คราวหน้ามาโอซาก้าอีกที ไม่พลาดแน่ๆ ครับ
หลังจากกินปูเสร็จ เราก็กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ร้านสุโขทัยและบอกลาเพื่อนของน้าป้านที่ร้าน แล้วเดินมาขึ้นรถไฟที่สถานี Namba เพื่อไปสนามบินคันไซ น้าปานมาส่งพวกเราที่สถานี ตอนนั้นผมมัวแต่รีบจัดการซื้อตั๋วรถไฟ เลยไม่ได้ดูว่าจะขึ้นรถไฟที่ชานชลาที่เท่าไหร่ น้าปานช่วยดูขบวนรถไฟให้ เราจึงขึ้นรถไฟออกจากสถานี Namba ออกมาได้ ผมสังเกตุคนบนรถไฟมีแต่คนญี่ปุ่นลักษณะเหมือนคนทำงานอ๊อฟฟิต ไม่มีนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าเหมือนพวกเราเลย พอรถไฟวิ่งมาจอดที่สถานีก่อนจะแยกเข้าสนามบิน Kansai (จอดนานพอสมควร) ผมจะถามน้องคนญี่ปุ่นลักษณะเหมือนนักศึกษามหาลัยว่า “รถขบวนนี้เข้าสนามบิน Kansai มั้ย” น้องซึ่งใส่หูฟังกำลังฟังเพลงจาก Smartphone อยู่ รีบถอดหูฟังแล้วบอกเราว่า “รถไฟขบวนนี้กำลังจะไป Wakayama ไม่เข้าสนามบิน” ว่าแล้วไงงานเข้าเลย ผมกับพิงรีบลากกระเป๋าลงจากรถไฟ ก่อนที่ประตูรถไฟจะปิดลง
ขณะที่เรากำลังยืนมองหาป้ายว่าจะขึ้นรถไฟเข้าไปยังสนามบิน Kansai ได้ที่ไหน น้องคนเดิมที่นั่งอยู่บนรถไฟก็เดินมาหาเราเพื่อบอกให้พวกเรายืนรอที่ชานชลาที่อยู่ติดกันนี้ อีก 8 นาทีจะมีรถไฟขบวนที่วิ่งเข้าไปสนามบิน Kansai มาถึง ผมรีบขอบคุณน้องเค้า ก่อนที่น้องเค้าจะรีบกลับไปขึ้นรถไฟขบวนเดิมซึ่งประตูกำลังจะปิดเพื่อวิ่งต่อไปยัง Wakayama ที่จริงน้องเค้าก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่เรารู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจของคนญี่ปุ่น แม้ว่าดูภายนอกจะลักษณะเฉยเมยก็ตาม ไม่สนใจคนอื่น แต่ถ้าเค้าเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันกำลังเดือนร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ พวกเค้าจะเต็มใจเข้าช่วยเหลือทันที ทริปนี้เราเจอเรื่องดีๆ เหล่านี้หลายครั้งเลยครับ นี่แหล่ะทำให้ผมต้องเสียตังค์สำหรับมาเที่ยวญี่ปุ่นอีก
เรายื่นรอที่ชานชลาพักเดียว รถไฟขบวนที่น้องคนญี่ปุ่นบอกก็มาถึง รถขบวนนี้เข้าสนามบินคันไซแน่นอนเพราะสังเกตุได้จากคนบนรถไฟ หลายคนมีกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ติดตัวเหมือนพวกเรา ขึ้นรถไฟไม่ถึง 10 นาทีรถก็วิ่งมาจอดในสถานีสนามบินคันไซ เรามาถึงเวลาเกือบ 3 ทุ่ม เครื่องออกเวลา 5 ทุ่มครึ่ง มีเวลา Check-in ได้สบายๆ แต่พอพวกเราเดินมาที่เคาร์เตอร์ Check-in ของสายการบิน มีผู้โดยสารยื่นรอเข้าคิวยาวเหยียด ทั้งฝรั่ง คนไทย คนญี่ปุ่น ผมกับพิงยืนรอต่อคิวสักพัก จึงรู้สาเหตุที่คิวไม่ค่อยเดิน นอกจากจะมีผู้โดยสารเยอะแล้ว เราเห็นกลุ่มคนไทย “หลายคนกำลังรื้อของในกระเป๋าแล้วจัดกระเป๋าใหม่” ที่เคาร์เตอร์ Check-in นี่แหล่ะครับนิสัยคนไทยแท้ๆ
ผมอยากแนะนำ คนที่ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ (Low cost airline) ว่าควรชั่งน้ำหนักกระเป๋าแต่ละใบมาจากบ้านให้พร้อม กระเป๋าถือขึ้นเครื่องน้ำหนักต้องไม่เกิน 7.9 กิโลกรัม (พนักงานจะตัดเศษทิ้งคิดแค่ 7 กิโลกรัม) ส่วนกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ที่โหลดลงเครื่อง (ซึ่งต้องเสียเงินซื้อเพิ่มตามน้ำหนักที่เราต้องการ รู้สึกจะราคา 700-800 บาทต่อน้ำหนัก 20 กิโลกรัม) ถ้าซื้อน้ำหนักไว้ 20 กิโลกรัม ก็ได้น้ำหนักเต็มที่ 20.9 กิโลกรัม (ตัดเศษทิ้ง) ถ้าน้ำหนักกระเป๋าเราหนักกว่าน้ำหนักที่ซื้อไว้ล่วงหน้า จะโดนปรับค่าน้ำหนักเกินกิโลกรัมละ หลายพันบาท ท่านก็ต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มหรือทิ้งสัมภาระบางส่วนที่สนามบิน อันนี้ทางสายการบิน Low cost airline เค้าเคร่งครัดกฏข้อนี้มาก
ผมจึงอยากเขียนเตือน เพราะว่า (บอกตรงๆ ว่า) ผู้รู้สึกขายหน้าเวลาเห็นเพื่อนร่วมชาติของเรา กำลังนั่งรื้อของและจัดของในกระเป๋าใหม่ที่เคาร์เตอร์ Check-in ในสนามบิน คนรุ่นเดียวกับเราอาจจะรู้สึกขายหน้าเวลาเห็นคนรุ่นก่อนเราทำอะไรที่ไม่ดีไว้ แต่ผมว่า เราพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำอะไรไม่ดีที่ทำให้คนรุ่นหลังของพวกเราต้องขายหน้าที่คนรุ่นก่อนเค้าเป็นแบบนี้ จะดีกว่ามั้ย ?
ผมเองก็ยอมรับว่า ผมก็เปิดกระเป๋าสัมภาระที่หน้าเคาร์เตอร์ Check-in ผมกับพิงซื้อน้ำหนักกระเป๋าโหลดลงเครื่องคนละ 20 กิโลกรัมไว้ก่อน พอมาชั่งกระเป๋ารวมกันที่เคาร์เตอร์กระเป๋าใบใหญ่ของผมกับพิงหนัก 25.5 กิโลกรัม (พนักงานคิด 25 กิโลกรัม) ส่วนกระเป๋าใบเล็กหนัก 16.6 กิโลกรัม ผมจึงเปิดกระเป๋าเอาฝาหม้อตุ๋นสแตนเลสหนัก 1 กิโลกรัมออกจากกระเป๋าใบเล็ก เอาใส่เป้ถือขึ้นเครื่อง (เป้น้ำหนักรวมทั้งหมด 6 กิโลกรัม) ผมก็รู้สึกอายเหมือนกันที่ต้องเปิดกระเป๋าเอาฝาหม้อออกมา แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ของผมรวดเร็วและกระชับ เพราะว่าผมได้เตรียมตัวและคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าน้ำหนักเกินจะเอาอะไรออกแล้วใส่เป้ถือขึ้นเครื่องครับ (ผมเองไม่ก็ไม่อยากให้เด็กรุ่นหลังว่าได้ ว่าคนรุ่นเรารุ่นผมมันเป็นอย่างนี้)
ทริปนี้ขอจบลงด้วยเรื่องเครียดๆ ซีเรียสนิดนึงละกันครับ ไม่เป็นไรมั้ง ชีวิตคนเรามันมีหลายรสชาติ จริงมั้ยครับ ขอตบท้ายด้วยรูปประทับใจที่ Nabana No Sato ละกันครับ พอดีมีผู้ใหญ่พาไป แล้วพบกันในทริปต่อไป ขอบคุณครับ
ปล. สำหรับสิ่งของต่างๆ ที่ช้อปปิ้งมาและทำการเรียกคืนภาษี (Tax refund) แล้ว สามารถเอาใส่กระเป๋าโหลดลงเครื่องได้เลยครับ ในสนามบินไม่มีคนตรวจเช็คเอกสารและสินค้าว่าตรงกันมั้ย หลังจาก Check-in และโหลดกระเป๋าเสร็จแล้วเดินเข้าไปด้านในสนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บรวมรวมเอกสาร Tax refund ที่ทางห้างร้านออกมาให้เรา เราเพียงแต่ยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่เท่านั้น หรือจะไม่ยื่นก็คงไม่เป็นไรมั้งครับ
รูปที่ 15 : เทศกาลดอกไม้และแสงไฟที่ Nabana No Sato ในเมือง Nagashima จังหวัด Mie |
------------------------------------------------------------------------------------ |